การสตาร์ทมอเตอร์
การเริ่มสตาร์ทมอเตอร์จากจุดหยุดนิ่งนั้น โดยธรรมชาติแล้วขณะที่มอเตอร์หยุดนิ่งมันจะใช้กระแสจำนวนมากในการที่จะต้องเอาชนะแรงเฉื่อย ซึ่งทำให้อาจเกิดผลกระทบต่อแหล่งจ่ายไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อตัวมอเตอร์เองหรือโหลดต่างๆ ที่ต่ออยู่ในระบบ ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบไฟฟ้าในขณะที่มีการสตาร์ทมอเตอร์เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการสตาร์ทมอเตอร์ให้เหมาะสม มาดูกันว่าการสตาร์ทมอเตอร์ที่ว่านี้ มีแบบไหนบ้างและต่างกันอย่างไร
การสตาร์ทมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
หลักการเบื้องต้นของการลดกระแสสตาร์ทของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ทำได้โดยนำความต้านทานมาต่อนุกรมกับขดลวดอาเมเจอร์ เพื่อช่วยลดปริมาณกระแสที่ไหลผ่านในขดลวดอาเมเจอร์ เมื่อมอเตอร์หมุนไปแล้วก็จะค่อยๆลดค่าความต้านทานลงทีละน้อย จนปลดความต้านทานนี้ออกไปจากขดลวดอาเมเจอร์ในที่สุด
การสตาร์ทมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ แบ่งเป็น
2.1 การสตาร์ทมอเตอร์โดยตรง (Direct on Line Starter)
เป็นการสตาร์ทด้วยการใช้แรงดันเต็มพิกัด นิยมใช้ในการสตาร์ทมอเตอร์ขนาดเล็ก โดยที่มอเตอร์จะถูกต่อผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สวิตซ์ คอนแทคเตอร์ เบรกเกอร์ เป็นต้น โดยใช้แรงดันพิกัดทันทีทันใด ทำให้กระแสที่เกิดขึ้นมีค่าประมาณ 6 – 8 เท่าของกระแสพิกัด
2.2 การสตาร์ทมอเตอร์โดยใช้หม้อแปลงอัตโนมัติ (Auto-Transformer Starter )
เป็นวิธีการสตาร์ทมอเตอร์โดยการใช้หม้อแปลงออโต้ที่มีขดลวดหลายชุดที่สามารถเปลี่ยนแท็ปแรงดันได้หลายระดับ เช่น 55%, 65%, หรือ 80% ของแรงดันพิกัด โดยจะรักษาระดับแรงดันในช่วงที่มอเตอร์มีความเร็วรอบเพิ่มขึ้น จนกว่าจะมีคำสั่งให้สับมอเตอร์แต่ละระดับเข้าเป็นลำดับ จนกระทั่งเข้าสู่ระดับแรงดันเต็มพิกัด
2.3 การสตาร์ทมอเตอร์แบบสตาร์-เดลต้า (Start-Delta Starter)
เป็นวิธีการสตาร์ทมอเตอร์ที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากทำได้ง่ายและเหมาะที่จะใช้กับมอเตอร์เหนี่ยวนำ โดยมีหลักการทำงาน คือ ขณะที่ทำการสตาร์ทมอเตอร์จะทำการต่อแบบสตาร์ ซึ่งช่วยลดกระแสขณะสตาร์ทได้ และเมื่อมอเตอร์เริ่มหมุนไปได้ระยะหนึ่งก็จะทำการต่อแบบเดลต้า
2.4 การสตาร์ทมอเตอร์แบบซอฟท์สตาร์ทเตอร์ (Electronic Soft Starter)
วิธีนี้มีหลักการ คือ ใช้วงจรอิเล็คทรอนิคส์กำลังในการตัดต่อกระแสไฟฟ้าที่เข้าไปยังขดลวดมอเตอร์ โดยการปรับเพิ่มแรงดันที่จ่ายให้กับมอเตอร์อย่างช้าๆและนิ่มนวลจนถึงระดับแรงดันพิกัด ทำให้สามารถป้องกันกระแสอินรัชที่มีค่าสูงและป้องกันแรงกระแทกที่มีผลต่ออุปกรณ์ทางกลของมอเตอร์ นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำ ความหลากหลาย และประสิทธิภาพในการป้องมอเตอร์สูงอีกด้วย
จากหลักการการสตาร์ทมอเตอร์ที่แตกต่างกัน หากเราเลือกใช้วิธีการสตาร์ทมอเตอร์ได้อย่างเหมาะสม เราก็สามารถหมดกังวลในเรื่องของผลกระทบต่อแหล่งจ่ายไฟได้แน่นอน
ซึ่งในโครงงานนี้เราจะใช้วิธีการสตาร์ทมอเตอร์โดยตรง (Direct on Line Starter) มาใช้ในการคำนวณหากระแสไฟฟ้าสูงสุด ณ ขณะที่มอเตอร์เริ่มทำงาน โดยจะคิดที่กระแสเป็น 8 เท่าของกระแสพิกัดมอเตอร์
สามารถคำนวณหากระแสมอเตอร์ได้จาก I = ( Powe / Voltage ) * 8
(อ้างอิงจาก : http://www.engineerfriend.com/2011/articles/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C/ )
การเขียนโปรแกรม :
import java.io.BufferedReader;
import java.io.IOException;
import java.io.InputStreamReader;
public class Gift {
public static void main(String[] args){
BufferedReader dataIn = new BufferedReader(new InputStreamReader(System.in)); // เป็นการสร้างวัตถุในคลาส ชื่อ BufferedReader เพื่อไว้รับค่าทางคีย์บอร์ด
double a,b,c,d; // ประกาศใช้ค่าตัวแปรแบบ double 4 ตัวแปรเพื่อใช้ในการคำนวณ
System.out.println("CALCULATE LIMIT CURRENT WHEN STARTING D.C. MOTOR");
System.out.println("Enter Rated Voltage : "); //เป็นส่วนแสดงผลของโปรแกรมที่ให้ใส่ค่าแรงดันมอเตอร์
String voltage = " "; // ประกาศค่าตัวแปรของแรงดันที่ต้องพิมพ์ป้อนเข้าไปในโปรแกรม
try { // ชุดคำสั่งจัดการความผิดพลาด
voltage = dataIn.readLine(); //เป็นการเก็บค่าของข้อมูลที่พิมพ์ป้อนเข้าไป
} catch (IOException e) {
System.out.println("Error!");
}
System.out.println("Enter Rated Watt : "); //เป็นส่วนแสดงผลของโปรแกรมที่ให้ใส่ค่ากำลังมอเตอร์
String watt = " "; // ประกาศค่าตัวแปรของกำลังมอเตอร์ที่ต้องพิมพ์ป้อนเข้าไปในโปรแกรม
try {
watt = dataIn.readLine();
} catch (IOException e) {
System.out.println("Error!");
}
a = Double.parseDouble(voltage); //ประกาศให้ตัวแปล a เป็นค่าของแรงดันที่ป้อนเข้าไป
b = Double.parseDouble(watt); //ประกาศให้ตัวแปล b เป็นค่าของกำลังมอเตอร์ที่ป้อนเข้าไป
c = (b/a); //ประกาศให้ตัวแปล C เป็นผลลัพธ์ของการคำนวณค่าของตัวแปล b / a
d = (c*8); //ประกาศให้ตัวแปล d เป็นผลลัพธ์ของการคำนวณค่าของตัวแปล c*8 (เป็นผลลัพธ์สุดท้ายของการคำนวณ)
System.out.println();
System.out.println("LIMITED CURRENT IS :");
System.out.println(" = " + d + " Amp");
//เป็นส่วนแสดงผลของโปรแกรม
}
}
ผลลัพธ์ :
ตัวอย่าง ใช้ Motor ขนาด 36V 350W มาคำนวณ


